ประกาศศตวรรษแห่งธรรม พุทธธรรมนำสันติสุข

ธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ประกาศศตวรรษแห่งธรรม พุทธธรรมนำสันติสุข “ธรรมยุทธวิธี” หัวใจของการประกาศศตวรรษแห่งธรรม

หัวใจสำคัญของ “การประกาศศตวรรษแห่งธรรม” คือการนำ ”หลักธรรมคำสอน“ ของพุทธศาสนาที่มีความสำคัญอยู่ที่ ”การปฏิบัติ“เพื่อนำไปสู่” “ความหลุดพ้น” และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขเชื่อมโยงทุกศาสนาในโลกเข้าด้วยกัน “การประกาศศตวรรษแห่งธรรม” เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 ณ มหาเจดีย์พุทธคยา บริเวณใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ดินแดนแห่งการตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ(ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง)แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

การประกาศศตวรรษแห่งธรรมของ ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของฯพณฯนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ซึ่งระบุว่าศตวรรษแห่งเอเชีย (Century of Asia) จะเกิดขึ้นได้เมื่อประชาชนในทวีปเอเชียถูกเชื่อมโยงด้วยหลักธรรมคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิสัยทัศน์นี้ครอบคลุมทุกศาสนา ปรัชญา และวัฒนธรรมทั่วโลก

“ศตวรรษแห่งธรรม” ยังมีนัยยะถึง “ธรรมวิชัย” หรือ “ชนะด้วยธรรม” ที่มีรากฐานมาจากคุณูปการของ “พระเจ้าอโศกมหาราช” ผู้ทรงเปลี่ยนจากการเป็นผู้พิชิตมาเป็นผู้นำแห่งสันติภาพด้วยธรรมะ เพราะชัยชนะที่แท้จริงคือ “การชนะใจ” และสร้าง “ความปรองดองผ่านหลักธรรม”

อนึ่ง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช” ในหลวงรัชกาล ที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ได้สานต่อแนวคิดของ “พระเจ้าอโศกมหาราช” ด้วยการมีปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม”

เหตุผลอีกประการของ “การประกาศศตวรรษแห่งธรรม” เกิดจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งความขัดแย้งทางอาวุธ ความขัดแย้งทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความแตกแยกในสังคมที่คุกคามมวลมนุษยชาติ เพื่อให้ “คำประกาศศตวรรษแห่งธรรม” เป็นจริง

สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 จึงเสนอ “ธรรมยุทธวิธี“ ที่ประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ

1. การปฏิบัติสมาธิ สมาธิเป็นรากฐานของการมีสติ ตระหนักรู้ด้วยตนเอง

2. การพัฒนาปัญญา ผ่านการศึกษาไตร่ตรอง และทำความเข้าใจในหลักธรรมคำสอน

3. การปฏิบัติตามแนวทางมรรคมีองค์ 8 ครอบคลุมทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งปัญญาในที่นี้คือ “ความรู้แจ้ง” ในความจริง คือ“สัมมาทิฏฐิ ”(ความเห็นชอบ) ,ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับทุกข์,เหตุแห่งทุกข์ และวิถีทางดับทุกข์ เป็นแนวทางนำไปสู่ความหลุดพ้น

นอกจากสถาบันคลังปัญญา หรือ Think Tank ของอินเดีย ที่มีส่วนในหน้าประวัติศาสตร์ของการประกาศศตวรรษแห่งธรรม ยังมีคณะผู้บริหาร ของสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ทั้งพระสงฆ์และฆาราวาส อาทิ พระพรหมวชิรนายก, พระเมธีวรญาณ, นายอภัย จันทนจุลกะ, นางสาวทิพวรรณ วีระภุชงค์, นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล, นายเกษม มูลจันทร์, นายสุรพล มณีพงษ์, นายวรศักดิ์ ประยูรสุข, ดร.อัจฉราวดี แมนชาติ, นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี อาจารย์จากศูนย์ศึกษาอินเดียมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และพระอุปปติสสะเถโร ประธานมหาโพธิสมาคมแห่งศรีลังกา ที่ร่วมในคณะธรรมยาตราครั้งที่ 4 เกือบตลอดเส้นทาง

***แคปซูลแห่งกาลเวลาจะถูกเปิดในอีก 234 ปี ข้างหน้า***

อีกไฮไลท์ของ ”การประกาศศตวรรษแห่งธรรม“ คือ ”การฝังไทม์แคปซูล“ หรือ ”แคปซูลแห่งกาลเวลา“ ซึ่งบรรจุคำประกาศศตวรรษแห่งธรรม และ สาส์นจากเลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ถึงคนในอนาคตอีก 234 ปีข้างหน้า เนื้อหาใจความหลักของสาส์นฉบับนี้คือจุดเริ่มต้นของ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 เพื่อปกป้องและเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยนโยบาย “พุทธพลิกโลก” “พุทธพลิกสุวรรณภูมิ” จากคำสั่งเสียสุดท้ายของ “พระมหาผ่อง สะมาเลิก” ประธานศูนย์กลางองค์กรพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว ที่ให้จัดโครงการ ”ธรรมยาตรา 5 แผ่นดินลุ่มน้ำโขง” ทั้ง 2 ครั้ง

”ธรรมยาตราครั้งที่ 3“ คือการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวก จากอินเดียมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ -19 มีนาคม 2567 จนกระทั่งวันที่ 2- 10 ธันวาคม 2567 จึงเกิด ธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ลุ่มน้ำโขงสู่มหานทีคงคา เป็นการต่อยอดแนวคิด ”ศตวรรษแห่งเอเชีย“ ”สู่ศตวรรษแห่งธรรม“ ซึ่ง “แคปซูลแห่งกาลเวลา” จะถูกเปิดในอีก 234 ปีข้างหน้า หรือ ปี พ.ศ.2801 นัยยะของตัวเลข 234 ยังหมายถึง พ.ศ.234 ที่พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงส่งคณะสมณทูต 9 สายไปเผยแผ่ธรรมะในดินแดนต่างๆทั่วโลก อีกทั้งตัวเลข 234 ยังรวมกันได้ 9 หมายถึง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศ มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกของราชอาณาจักรไทย

“แคปซูลแห่งกาลเวลา” จะถูกฝังไว้ใต้พิภพ ณ แผ่นดินพุทธภูมิและสุวรรณภูมิ 3 แห่งด้วยกัน จุดแรกที่ “พุทธคยา” สถานที่ตรัสรู้ของค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จุดที่สองที่ “รัฐคุชราต” บ้านเกิดของนายกรัฐมนตรีอินเดีย และจุดที่สามที่ “วัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฏ์ ราชวรมหาวิหาร” ประเทศไทย

***ปัฏนะ จุดเริ่มต้นธรรมยาตราครั้งที่ 4 ตามรอยพระเจ้าอโศกมหาราช***

เมือง ”ปัฏนะ“ ตั้งอยู่ในรัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก “ปัฏนะ” หรือ “ปาฏลีบุตร” ยังเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโบราณ ยุคเมาริยะ ปกครองโดย ”พระเจ้าอโศกมหาราช“ มีการสังคยานาพระไตรปิฎก ครั้งที่ 3 เกิดขึ้น และหลังการประชุมสังคยานาครั้งที่ 3 พระเจ้าอโศกมหาราชได้ ส่งคณะพระธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา 9 สาย ซึ่งสายที่ 8 คือการส่งพระโสณะเถระ และพระอุตตระเถระมายังแผ่นดิน “สุวรรณภูมิ”

คณะธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น จากผู้นำสูงสุดของรัฐพิหาร คือ นายราเชนทร์ อัรเลกัร มุขมนตรีรัฐพิหาร เปิดทำเนียบ ที่เมืองปัฏนะ ให้การต้อนรับคณะธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ลุ่มน้ำโขงสู่มหานทีคงคา ประกาศศตวรรษแห่งธรรม ณ แดนพุทธภูมิ นำโดยดร. สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 โดยมีองค์กรภาคีเครือข่าย นำโดยมี Most Venerable Jangchup Choeden เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธนานาชาติ หรือ International Buddhist Confederation (IBC)เข้าร่วมงานด้วย

มุขมนตรีรัฐพิหาร ชื่นชมการจัดโครงการธรรมยาตรา ครั้งที่ 3 มหานทีคงคา สู่ลุ่มน้ำโขง โดยมุขมนตรีรัฐพิหารได้เดินทางไปยังประเทศไทยเพื่อร่วมอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้าย ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ถึง 19 มีนาคม 2567 ทำให้เห็นว่าชาวไทยและชาวอินเดีย นับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันและใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างกัน

เช่นเดียวกับ Most Venerable Jangchup Choeden เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธนานาชาติ ได้เดินทางมายังประเทศไทย ที่วัดมหาธาตุวชิรมงคล จังหวัดกระบี่ สถานที่สุดท้ายในการอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ ทำให้เห็นศรัทธาของประชาชนจำนวนมากทั้ง”ชาวพุทธ“ และ “ชาวมุสลิม” ที่หลั่งไหลเข้ากราบสักการะ ดังนั้นโครงการธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ลุ่มน้ำโขง สู่ มหานทีคงคา จึงได้สร้างหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ขึ้น ด้วยการประกาศศตวรรษแห่งธรรม ถือเป็นภารกิจครั้งสำคัญ ในการทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น ด้วยความรักและเมตตาที่มีต่อกัน

***มหาวิทยาลัยนาลันทา ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก***

อีกเมืองหนึ่งในรัฐพิหารที่คณะธรรมยาตราเดินทางไปคือ “เมืองนาลันทา” เป็นที่ตั้งของ “มหาวิทยาลัยนาลันทา“ มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์และประสานการทำงานตามแนวทางพุทธศาสนา ผู้บริหารมหาวิทยาลัยนาลันทามีการประสานความร่วมมือกับมหาวิททยาลัยในประเทศไทยหลายแห่ง และทำงานใกล้ชิดกับสมาพันธ์ชาวพุทธนานาชาติ หรือ IBC มาโดยตลอด เพราะต้องการขยายเครือข่ายความร่วมมือด้านพุทธศาสนาให้กว้างขวางออกไป ตามวิสัยทัศน์ของฯพณฯ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ที่ประกาศ ”ศตวรรษแห่งเอเชีย“ โดยใช้พุทธศาสนาเชื่อมโลก ในเวทีสหประชาชาติเมื่อปี 2015

นอกจากคณะธรรมยาตรา ยังได้เยี่ยมชมมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน และมหาวิทยาลัยนาลันทายุคเก่า ที่เป็นพุทธสถานที่สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เพื่อเป็นมหาวิทยาลัยของพระภิกษุสงฆ์ หนึ่งในพระสงฆ์ที่เป็นบุคคลสำคัญในยุคนั้นคือ ”พระถังซัมจั๋ง“ ผู้นำความรู้ทางพุทธศาสนา และปรัชญา กลับไปยังประเทศจีน ถือเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองอารยธรรมคือ ”จีน“ และ ”อินเดีย“ โดย ”มหาวิทยยาลัยนาลันทา“ ยุคโบราณยังมีสถานที่สำคัญ คือ บ้านเกิดของ ”พระสารีบุตร” อัครสาวกเบื้องขวา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ยังคงร่องรอยของ ”สถูป“ ไว้ให้รำลึกถึงสมัยพุทธกาล

***ภาคีเครือข่ายอินเดีย เชื่อมสัมพันธ์องค์กรรระดับผู้นำให้คณะธรรมยาตรา ครั้งที่ 4***

ผู้นำภาคีเครือข่าย “สถาบันคลังปัญญา“ หรือ จะ Think Tank อาทิ International Buddhist Confederation หรือ IBC, India Council of Cultural Studies หรือ ICCS, Vivekananda International Foundation หรือ VIF, Indira Gandhi National Center of Arts หรือ IGNCA, USA and International Tripitaka Chanting Council หรือ ITCC , MahaBodhi Society of Sri Lanka เชื่อมประสานให้คณะธรรมยาตราครั้งที่ 4 เข้าพบบุคคลสำคัญ และจัดเวทีวิชาการเชื่อมองค์ความรู้ระหว่าง “สถาบันคลังปัญญา” กับ “สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย980” เพื่อกระชับความสัมพันธ์และ ต่อ ยอดในอนาคต

“IBC” หนึ่งในสถาบันคลังปัญญา หรือ Think Tank ระดับชั้นนำของอินเดีย เป็นเจ้าภาพจัดงานแถลงข่าวธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ที่วัดไทยพุทธคยา โดย ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยา 980 ได้ย้อนความสำเร็จของธรรมยาตรา ครั้งที่ 1 และ 2 ในปี 2017 และ 2019 โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้นำ 5 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย โดยเฉพาะพิธีปิดโครงการธรรมยาตรา 5 แผ่นดิน ครั้งที่ 2 ได้รับพระบรมราชานุญาต ผ่านทางรัฐบาลกัมพูชา ให้จัดพิธีปิดโครงการที่ปราสาทนครวัด ซึ่งเป็นศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก

สถาบันคลังปัญญาหรือ Think Tank ของอินเดีย ยังให้ความสำคัญกับสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ด้วยการจัดเวทีต้อนรับถึง 2 เวที โดยเวทีแรกเป็นเวทีเปิด นายสุรพล มณีพงษ์ อดีตเอกอัคราชทูตไทย ประจำกระทรวงการต่างประเทศ หนึ่งในคณะธรรมยาตรา เห็นว่า สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงในอินเดีย คือ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน และยังได้เล่าถึงช่วงเริ่มต้นการเป็นทูตว่า มีนโยบายความร่วมมือระหว่างอินเดียกับอาเซียน ในการใช้ “พุทธศาสนาส่งเสริมการท่องเที่ยว” และย้ำถึงนโยบาย “Look East” ของนายกรัฐมนตรีอินเดีย และ ”นโยบายศตวรรษแห่งเอเชีย“ ที่ต่อยอดมาสู่ ”ศตวรรษแห่งธรรม“

ขณะที่ ”สถาบันคลังปัญญา” ของอินเดียหลายแห่ง เช่น ICCS, IBC, VIF, ITCC และ IGNCA ได้แสดงจุดยืนสอดคล้องกันว่า จะส่งเสริมความร่วมมือด้านพุทธศาสนากับประเทศไทยมากขึ้น และชื่นชมแนวคิดการเชื่อมโยง 5 ประเทศลุ่มน้ำโขงเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่นางสาวภัทรัตน์ หงษ์ทอง เอกอัคราชทูตไทย ประจำสาธารณรัฐอินเดีย แสดงความยินดีกับความสำเร็จของ ”การประกาศศตวรรษแห่งธรรม“ เพราะธรรมะของพุทธศาสนา เสริมความแข็งแกร่งในทุกมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจและสังคม และยังเชื่อมโยงไปถึง ธรรมยาตรา ครั้งที่ 1, 2และ 3 เป็นการใช้ “พุทธศาสน์การทูต” เพื่อเผยแผ่พุทธศาสนาสู่มวลมนุษยชาติ

***มุ่งหน้าสู่กรุงนิวเดลลี พบรัฐมนตรีระดับนำ 2 กระทรวง***

คณะธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ได้เข้าพบรัฐมนตรีคนแรกคือ

ฯพณฯศรี คเชนทร ซิงห์ เชควัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้ชื่นชมความสำเร็จของโครงการธรรมยาตราครั้งที่ 3 มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุจากอินเดียไปประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย ถือว่าประสบความสำเร็จ และยินดีต้อนรับ คณะธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ของ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ที่เดินทางมาจากประเทศไทย เพราะ “ธรรมะ” สามารถรวบรวมผู้คนให้เกิดความเป็นเอกภาพและสันติภาพจากหลักธรรมคำสอน และยังเห็นความสำเร็จของการใช้พุทธศาสนาเชื่อมโยง “เอเชียใต้” กับ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่าง “ลุ่มน้ำโขงและลุ่มน้ำคงคา”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม อินเดีย ยังแสดงความมั่นใจว่าศตวรรษที่ 21 เป็น “ศตวรรษแห่งเอเชีย” และอินเดียจะมีบทบาทนำในประเทศลุ่มน้ำโขง และยังย้ำว่านโยบาย ”ACT EAST“ เป็นนโยบายที่มีศักยภาพ โดยนายกรัฐมนตรีอินเดียเชื่อมั่นว่า นี่คือศตวรรษแห่งตะวันออก แห่งเอเชียและ แห่งอินเดีย

รัฐมนตรีจากรัฐบาลกลางของอินเดีย คนที่ 2 คือ ฯพณฯ ศรี คิเรน ริจิจู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการรัฐสภาและกิจการชนกลุ่มน้อย เปิดบ้านต้อนรับ คณะธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ลุ่มน้ำโขงสู่มหานทีคงคา นำโดย ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 , นายอภัย จันทนจุลกะ, นายเกษม มูลจันทร์, นายสุรพล มณีพงษ์, ดร.อัจฉราวดี แมนชาติ, นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และอาจารย์จากศูนย์ศึกษาอินเดียมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

ดร.สุภชัย กล่าวถึงที่มาของการก่อตั้ง สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ว่ามีจุดเริ่มต้นจากโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา เมื่อปี พ.ศ.2550 สถาบันโพธิคยาฯ มีเป้าหมายในการร่วมกันเผยแผ่และปกป้องพระพุทธศาสนา พร้อมสรุป โครงการธรรมยาตราทั้ง 4 ครั้ง ซึ่ง ธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 มีจุดเริ่มต้นที่เมืองปัฏนะ เพราะเป็นดินแดนบ้านเกิดของพระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ปกครองด้วย ”หลักธรรมวิชัย“ หรือ “ชนะโดยธรรม” “ธรรมยาตราครั้งที่ 4” จึงเปรียบเสมือนได้ตามรอยแห่งธรรมของพระเจ้าอโศกมหาราช

ในทุกครั้งที่มีโอกาสพบบุคคลสำคัญของอินเดีย ดร.สุภช้ย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยา 980 จะย้ำเสมอว่าจะทำงานถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และถวายแด่พระเจ้าอโศกมหาราช โดยจะทำงานรับใช้ “พระศาสนา” จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

ฯพณฯศรี คิเรน ริจิจูน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการรัฐสภาและชนกลุ่มน้อย กล่าวชื่นชม สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 โดยเฉพาะ ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ ที่ได้อุทิศตนไม่ใช่เพื่อพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอินเดียให้แน่นแฟ้นมากขึ้น และพร้อมสนับสนุนกิจกรรมของ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ต่อไปในอนาคต

ก่อนหน้านั้นรัฐมนตรีท่านนี้ได้พบกับ ดร.สุภชัย ที่เมืองสาญจีในพิธีอัญเชิญพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวกทั้ง 2 โดยให้สัมภาษณ์พิเศษกับสื่อไทยว่า นายกรัฐมนตรีอินเดีนได้ส่งสาส์นผ่านเวทีสหประชาชาติไปยังประชาคมโลกถึง “ศตวรรษแห่งเอเซีย“ ว่า อินเดียจะใช้พุทธศาสนาเชื่อมโลกเข้าด้วยกัน เพราะ ”ธรรมะ“ ไร้ซึ่งพรมแดน และมีความเป็นสากล สามารถสื่อสารกับคนทั้งโลกได้ ซึ่งหากเดินตามแนวทางคำสอนขององค์พระศาสดา จะเกิด ”ความรัก ความสันติสุขและความสมานฉันท์“ ขึ้นทั่วโลก

นับเป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งของคณะ ธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ที่ได้พบ 2 รัฐมนตรีที่อยู่ในคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลกลางอินเดีย ที่แสดงท่าทีพร้อมสนับสนุนการประกาศศตวรรษแห่งธรรม และสานต่อความร่วมมือต่อไปในอนาคต

***รัฐคุชราต เยือนบ้านเกิดนายกรัฐมนตรีอินเดีย และอีกจุดของการฝังไทม์แคปซูล***

จุดท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของรัฐคุชราต บ้านเกิดของนายกรัฐมนตรีอินเดีย คือวัดนากา เป็นโบราณสถานสำคัญที่สะท้อนถึงประวัติและวัฒนธรรม ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ จุดที่ได้รับความสนใจคือร่องรอยของสถูปโบราณ ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วัดนากา ยังมีความสำคัญ เพราะมีความเชื่อว่า พระถังซัมจั๋ง ได้เดินทางจากประเทศจีน มายังอินเดีย ในศตวรรษที่ 7 เพื่อศึกษาและรวบรวมคัมภีร์ในพุทธศาสนา ดร.สุภชัย ยังได้นำไทม์แคปซูล ที่บรรจุสาส์นประกาศศตวรรษแห่งธรรม และสาส์นถึงคนในโลกอนาคต 1 ใน 3 ชิ้น มาสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยหลังจากนี้จะได้กำหนดพื้นที่ในการฝังไทม์แคปซูลในรัฐคุชราตต่อไป

***Dev Ni Mori” อภิมหาโปรเจคด้านศาสนาของนายกฯอินเดีย***

“โครงการขนาดใหญ่” ในอนาคตที่รัฐคุชราต ภายใต้วิสัยทัศน์ ของ ฯพณฯ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตอินเดีย คือ “อภิมหาโปรเจค” ก่อสร้าง ”Dev Ni Mori“ ให้เป็น “ศูนย์กลางทางศาสนา วัฒนธรรมและการเรียนรู้” เพื่อเชื่อมเส้นทางสำคัญทางพุทธศาสนา ได้แก่ พุทธคยา ราชคฤห์และสารนาถ จะมีการสร้างศูนย์การเรียนรู้และปฏิบัติธรรมทางพุทธศาสนาระดับนานาชาติ โดย “โครงการ Dev Ni Mori” ในปัจจุบันยังเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่มีการค้นพบเมืองโบราณใต้แม่น้ำ ”Meeshwo“ เมืองนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ ที่มีอายุยาวนานกว่า 2,000 ปี

”Dev Ni Mori“ ยังเป็นสถานที่ตั้งของสถูปพุทธที่มีการขุดค้นพบพระบรมสารีริกธาตุบรรจุไว้ใน“ผอบหิน” จึงสันนิษฐานอาจเคยเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนาอีกแห่งหนึ่ง สมัยราชวงศ์คุปตะ ประมาณศตวรรษที่ 4 – 6

คณะธรรมยาตรายังไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Dev No Mori ได้แก่วัด Shamlagi ซึ่งบูชาพระกฤษณะ และพระวิษณุ วัดแห่งนี้สะท้อนถึงความเชื่อและวัฒนธรรมของชาวฮินดู และมีความหลากหลายทั้งศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู แสดงให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนของสองศาสนา ภายในบริเวณเดียวกันยังมีพิพิธภัณฑ์ Shamlagi ที่รวบรวมโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธในยุคคุปตะ โดยสถานที่สำคัญทั้งหมดเหล่านี้อยู่ในแผนการพัฒนา โครงการขนาดใหญ่ “Dev Ni Mori” ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธและศูนย์ปฏิบัติธรรมนานาชาติ

***พบมุขมนตรีรัฐคุชราต เชื่อมระดับประชาชน เจาะ”คนรุ่นใหม่“**

อีกหนึ่งโอกาสสำคัญที่ คณะธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ของสถาบันโพธิคยา ได้รับ คือ การเข้าพบผู้บริหารสูงสุดของรัฐคุชราต “มุขมนตรีรัฐคุชราต” Bhupendra Ragnikant Patel โดย เลขาธิการสถาบันโพธิคยา 980 สรุปความสำเร็จของโครงการธรรมยาตราทั้ง 4 ครั้ง และการมีโอกาสเข้าพบ 2 รัฐมนตรีใน “รัฐบาลกลาง” ที่ดูแลงานด้านศาสนาและวัฒนธรรมของอินเดีย ขณะนี้ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคีเครือข่าย อาทิ IBC, ICCS , IGNCA, VIF รวมทั้งยังมีการหารือทั้งในระดับรัฐมนตรีและมุขมนตรีถึงการเชื่อมความสัมพันธ์ระดับ “ประชาชน” กับ “ประชาชน” โดยเฉพาะ “คนรุ่นใหม่” จากทั้งสองประเทศ โครงการแรกจะใช้ “Influencer” จาก ”ไทย“ และ ”อินเดีย“ เชื่อมประสานสัมพันธ์ด้วยการแข่งขันกีฬายอดนิยม คือ ”ฟุตบอล“

ในช่วงท้ายของการเข้าพบ ”มุขมนตรีรัฐคุชราต“ ยังเป็นสักขีพยานการลงนาม ”บันทึกความเข้าใจด้านการส่งเสริมพัฒนามรดกทางพุทธศาสนา” ทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ของรัฐคุณชราต ประเทศอินเดีย ประเทศไทย และภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยเป็นการลงนามระหว่าง “สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980” กับ “การท่องเที่ยวแห่งรัฐคุชราต” มรดกทางศาสนาที่จับต้องได้ เช่น โบราณสถาน (สถูป วัดโบราณ พระพุทธรูป พระไตรปิฎกา) ส่วนมรดกทางศาสนาที่จับต้องไม่ได้ เช่นหลักธรรมคำสอน (อริยสัจ 4 ,มรรคมีองค์8 ,การปฏิบัติสมาธิ)

***กราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และเถ้าอัฐิเพื่อความเป็นสิริมงคล***

ที่รัฐคุชราต คณะธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ของสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ได้กราบสักการะ “เถ้าอัฐิ” ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ถูกเก็บรักษาไว้ใน “ผอบหิน” ภายในตู้นิรภัยของพิพิธภัณฑ์โบราณคดีและประวัติศาสตร์โบราณ มหาวิทยาลัย Maharaja Sayajirao University Of Baroda (MSU) “เถ้าอัฐิ” ของพระพุทธเจ้านี้เป็นส่วนหนึ่งของโบราณวัตถุที่พบในแหล่งโบราณคดี “Dev Ni Mori”

ก่อนหน้านั้น ในช่วงที่อยู่ที่กรุงนิวเดลี คณะธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ยังได้ตอบรับคำเชิญของภาคีเครือข่าย คือ IBC เข้ากราบสักการะ ”พระบรมสารีริกธาตุ“ ที่เคยอัญเชิญมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย ถือเป็นมรดกอันล้ำค่าของศาสนาพุทธและวัฒนธรรมโลก สะท้อนความสำคัญของพระพุทธศาสนาที่มีต้นกำเนิดจากดินแดนพุทธภูมิ สาธารณรัฐอินเดีย

***”สาญจี”กราบสักการะพระอรหันตธาตุ-ประกาศหมุดหมายแรก ธรรมยาตรา ครั้งที่4***

ทุกวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน หรือปีละ 1 ครั้ง ที่มหาวิหารสาญจีจะเปิดให้ประชาชนทั้ง ชาวอินเดีย – ศรีลังกา และนานาชาติ เข้ากราบสักการะ พระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวกเบื้องขวา และเบื้องซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถูกค้นพบภายใน “ผอบศิลา“ สถูปที่ 3 และได้รับการอัญเชิญมาจากพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียและอัลเบิร์ต กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มายัง “มหาวิหารสาญจี” เมื่อปี ค.ศ.1952 โบราณสถานสำคัญที่เมืองสาญจียังมี “สถูปที่ 1” เป็นสถูปหลักที่สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีรูปครึ่งวงกลม สื่อถึง “จักรวาล” จุดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกของสถูปสาญจี คือ “ซุ้มประตู 4 ทิศ“ ซึ่งเป็นจุดเด่นด้านศิลปะที่สำคัญ ซุ้มประตูแกะสลักอย่างงดงาม บอกเล่าเรื่องราวในพุทธประวัติ : การประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน และยังมีสัญญลักษณ์ของ ”ธรรมจักร” เสมือนสัญญะของ “พระธรรมคำสอน“ พระอุปติสสะเถโร ประธานมหาโพธิสมาคมแห่งศรีลังกา ผู้ดูแลพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวกทั้งสอง ได้เชิญ เลขาธิการโพธิคยาวิชชาลัย 980 มาร่วมในพิธีสำคัญ และแสดงจุดยืนในการสนับสนุน ”การประกาศศตวรรษแห่งธรรม“ ของ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 โดยเห็นว่า “ศตวรรษที่ 21” จะเป็น “ศตวรรษแห่งธรรม” และพร้อมทำทุกวิถีทางให้ “การประกาศศตวรรษแห่งธรรม” เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 แสดงความเห็นว่า “ทุกวันนี้ชาวพุทธไม่มีพรมแเดน ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง 5 ประเทศ มี พ่อ องค์เดียวกัน คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมี แม่ เดียวกัน คือ แม่น้ำโขง ทุกประเทศในดินแดนสุวรรณภูมิ จึงเปรียบเสมือนพี่น้องที่ต้องร่วมมือกันในทุกมิติ” การเดินทางมายังเมืองสาญจี อนุสรณ์สถานแห่งความรักของพระเจ้าอโศกมหาราช จึงเปรียบเสมือน การขับเคลื่อนกงล้อแห่งธรรม จาก ดินแดนสุวรรณภูมิ กลับคืนสู่ ดินแดนพุทธภูมิ ถือเป็นหมุดหมายแรกของ ”การประกาศศตวรรษแห่งธรรม” ที่มีเป้าหมายในการ “รวมทุกศาสนา” ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

***ธรรมยาตราครั้งที่4 สำเร็จทั้งด้านศาสนา-ด้านการต่างประเทศ***

ธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ได้สร้าง “สารัตถะ” ที่เป็นรูปธรรม ”ด้านศาสนา“ คือ “การประกาศศตวรรษแห่งธรรม” ซึ่ง “ธรรมะ“ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะ ”พุทธศาสนา“ แต่หมายรวมถึง ”ธรรมะ“ ของทุกศาสนาในโลกใบนี้ นอกจากนั้นยังขยายผลด้วย ”การเตรียมบรรจุแคปซูลแห่งกาลเวลา” ทั้ง “ดินแดนพุทธภูมิ” และ “ดินแดนสุวรรณภูมิ 3 จุด โดยจะถูกเปิดในโลกอนาคตอีก 234 ปีข้างหน้า สารัตถะที่เป็นรูปธรรม ”ด้านการต่างประเทศ“ คือการมีโอกาสเข้าพบ 2 รัฐมนตรีคนสำคัญของรัฐบาลกลางอินเดีย คือ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม” และ ”รัฐมนตรีกิจการรัฐสภา และกิจการชนกลุ่มน้อย“ รวมถึงผู้บริหารสูงสุดแห่งรัฐ คือ ”มุขมนตรีรัฐพิหาร และมุขมนตรีรัฐคุชราต” เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย ให้แน่นแฟ้น และยังเชื่อมโยง “เอเซียใต้และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้” โดยใช้ “ศาสนา” เป็นมิตินำยิ่งไปกว่านั้นยังได้เชื่อมความสัมพันธ์กับภาคีเครือข่าย “สถาบันคลังปัญญา“ หรือ Think Tank สำคัญของอินเดีย อาทิ IBC, ICCS, IGNCA, VIF และ ITCC ฯลฯ ที่เป็นหน่วยงานและองค์กรดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีก แนวทางหนึ่งของรัฐบาลอินเดีย ภาพที่ปรากฎให้เห็นเป็นรูปธรรมจาก โครงการธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 คือ

  • การเชื่อมโยงระหว่าง“รัฐ”ต่อ“รัฐ”
  • การเชื่อมโยงระหว่าง“ศาสนา”ต่อ“ศาสนา”
  • การเชื่อมโยงระหว่าง“ประชาชน”ต่อ“ประชาชน”

ทำให้หวนกลับไปนึกถึงภาพ “การจุดเทียน” ส่งต่อกันของ “พระสงฆ์” และมหาชนจากนานาชาติเปรียบเสมือน “แสงสว่างแห่งธรรม” ที่แผ่กระจายส่องสว่างเรืองรองไปทั่วโลก โดยมิได้จำกัดแต่เพียง “พุทธศาสนา” แต่เป็น “ธรรมะ” ที่เข้าถึงได้ในทุกชนชาติ ศาสนา เป็น “แสงสว่างทางปัญญา“ ”ความศรัทธา“ และ ”ความเมตตา“ ที่นำไปสู่สันติสุขของมวลมนุษยชาติ

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://bodhigaya980.com/dhamayartra/dhammayatra-4/

เขียนโดย : ตวงพร อัศววิลัย