ลุ่มน้ำโขงสู่มหานทีคงคา ประกาศศตวรรษแห่งธรรม ณ แดนพุทธภูมิ
วันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ.2567 สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย980 ร่วมกับองค์กรภาคีทั้งของอินเดียและไทย อาทิ Vivekananda International Foundation, India (VIF), International Center for Cultural Studies, India (ICCS), International Buddhist Confederation (IBC), สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย, สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย, รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย, วัดไทยพุทธคยา, สาธารณรัฐอินเดีย, Mahabodhi Society of Sri Lanka, ศูนย์ศึกษาอินเดียแห่งมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และมูลนิธิวีระภุชงค์ จัดงานแถลงข่าวการจัดงานธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ลุ่มน้ำโขงสู่มหานทีคงคา ประกาศศตวรรษแห่งธรรม ณ แดนพุทธภูมิ สาธารณรัฐอินเดีย โดยจะใช้เส้นทาง ปัตนะ-พุทธคยา-นิวเดลี-คุชราต ระหว่างวันที่ 2 – 10 ธันวาคม พ.ศ.2567
พิธีการสำคัญที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2567 คือการประกาศ “ปฏิญญาว่าด้วยศตวรรษแห่งธรรม” (Declaration on Dhamma Century) ซึ่งมีพื้นฐานมาจากวิสัยทัศน์ “ศตวรรษแห่งเอเซียด้วยหลักธรรม“ ของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี แห่งสาธารณรัฐอินเดีย ที่กล่าวไว้เมื่อปี พ.ศ. 2558 ว่า “ศตวรรษที่ 21” คือ “ศตวรรษแห่งเอเซีย” แต่จะเป็น “ศตวรรษแห่งเอเซีย” ไม่ได้ถ้าไม่มี “พุทธศาสนา” เป็นจุดเชื่อมโยงประเทศต่างๆเข้าด้วยกัน
“ศตวรรษแห่งธรรม” มิใช่เป็นเพียงหมุดหมายทางกาลเวลา แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทุกคนเพื่อนำ “หลักธรรม” ของศาสนามาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เป็นศตวรรษที่มนุษยชาติจะมองข้ามข้อจำกัดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์, ความแตกต่างทางศาสนา, ความแตกต่างทางวัฒนธรรมประเพณี และความแตกต่างทางเชื้อชาติ มารวมตัวกันเพื่อสร้าง “ศตวรรษใหม่แห่งสันติภาพ” สร้างความเข้าใจ และความเคารพซึ่งกันและกัน โดยมี “หลักธรรม” เป็นที่ตั้งในการบรรลุ “ธรรมวิชัย หรือชัยชนะแห่งธรรม” หาใช่การใช้ความรุนแรง
วิสัยทัศน์ของ “ศตวรรษแห่งธรรม” มิได้จำกัดอยู่เฉพาะ “หลักธรรม” ของ พุทธศาสนาเท่านั้น แต่หมายถึง หลักธรรมของทุกศาสนาที่อุบัติขึ้นในโลก ที่ต่างก็มีคำสอนอันเป็นหลักธรรมร่วมกัน ในการส่งเสริมความดี เพื่อสันติภาพและสนับสนุนการหารือเพื่อแก้ไขวิกฤติร่วมกันของมวลมนุษยชาติ ในด้านการเมือง ความมั่นคง สิ่งแวดล้อมและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เพื่อนำพาโลกในศตวรรษใหม่ไปสู่ความปรองดอง สันติภาพ และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐอินเดียในครั้งนี้ คือความร่วมมือในทุกๆมิติ ทั้งมิติภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อประกาศศตวรรษแห่งธรรม ที่นำโดย ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ร่วมกับองค์กรภาคีทั้งอินเดียและไทย รวมทั้งนักวิชาการทางพระพุทธศาสนา จากภูมิภาคแม่น้ำโขง และแม่น้ำคงคา โดยมีจุดหมายเดียวกันคือ ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ บริเวณโพธิมณฑล เมืองพุทธคยา สาธารณรัฐอินเดีย ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2567
การแถลงข่าว โครงการธรรมยาตราครั้งที่ 4 ในวันนี้ ได้รับความเมตตาจาก พระพรหมวัชรวิมลมุนี วิ. กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสถษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร, ฯพณฯ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, ฯพณฯ นาเกซ ซิงห์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย และดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980
พระพรหมวัชรวิมลมุนี วิ.กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร กล่าวว่า นับตั้งแต่พุทธศักราช 234 ที่พระเจ้าอโศกมหาราช ส่งคณะสมณทูตออกเผยแผ่พระพุทธศาสนา 9 สาย ในสายที่ 8 ดินแดนลุ่มน้ำโขงที่เราเชื่อว่าคือ “ดินแดนสุวรรณภูมิ” อันมีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย ยังให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสืบมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเข้าสู่กึ่งพุทธกาลแล้ว การจัดธรรมยาตราครั้งที่ 4 ลุ่มน้ำโขงสู่มหานทีคงคา ประกาศศตวรรษแห่งธรรม ณ.แดนพุทธภูมิ สาธารณรัฐอินเดีย จึงนับเป็นการนำความเจริญรุ่งเรืองทางพุทธศาสนากลับคืนสู่ “แดนมาตุภูมิ” ให้มีความเจริญดังเช่นที่เคยเป็นมา ด้วยการประกาศ “ปฏิญญาศตวรรษแห่งธรรม” “ศตวรรษแห่งธรรม” มิใช่เพียงหมุดหมายทางกาลเวลา แต่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกัน เพื่อนำหลักธรรมเป็นแนวทางดำเนินชีวิตบรรลุ “ธรรมวิชัย” หรือ “ชนะด้วยธรรม” เกิดสันติสุขต่อมวลมนุษยชาติ
ฯพณฯ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ผลักดันความร่วมมือของ ”สถาบันคลังปัญญา” (Think Tank) ของอินเดียและไทยคือ Vivekadana International Foundation (VIF) กับ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 เพื่อให้ “พุทธศาสนา” เป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยง ประชาชน-สู่-ประชาชน และมีเป้าหมายต่อไป คือการผลักดันให้ ”ธรรมวิชัย“ หรือ ”ชัยชนะแห่งธรรม“ ได้รับการยอมรับให้บรรจุในวาระสำคัญขององค์การสหประชาชาติ เพื่อเตือนสติประเทศสมาชิกทั้งหลายให้ตระหนักถึงการใช้ ”หลักธรรม“ ในการเสริมสร้างสันติภาพให้กับประชาคมโลกต่อไป ส่วนการฝัง ”Time Capsule” หรือ ”แคปซูลแห่งกาลเวลา” จะบรรจุ “ปฏิญญาว่าด้วยศตวรรษแห่งธรรม” เพื่อให้ประชาคมโลกในอนาคต ได้ตระหนักถึงความสำเร็จของความร่วมมือของบรรพบุรุษในอดีตกาล ที่ได้ร่วมกันประกาศ ”ศตวรรษแห่งธรรม” รวมทั้งให้ประชาคมโลกได้ตระหนักด้วยว่า “ศตวรรษแห่งธรรม“ มีจุดกำเนิดมาจากความร่วมมือกันระหว่าง สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 กับสถานเอกอัครราชทูตอินเดีย ประจำประเทศไทย “แคปซูลแห่งกาเวลา” จะถูกเปิดขึ้นในอีก 234 ปีข้างหน้า หรือปี พ.ศ.2801
ฯพณฯ นาเกซ ซิงห์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวถึงการให้ความสำคัญของรัฐบาลกลาง และรัฐบาลรัฐต่างๆ รวมถึงองค์กรภาคีมากกว่า 10 องค์กร ในการต้อนรับคณะธรรมยาตราครั้งที่ 4 ลุ่มน้ำโขงสู่มหานทีคงคา ประกาศศตวรรษแห่งธรรม ณ แดนพุทธภูมิ สาธารณรัฐอินเดีย เพราะเล็งเห็นว่า พุทธศาสนาซึ่งมีต้นกำเนิดในอินเดียได้นำพาคำสอนอันเป็นนิรันดร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกี่ยวกับสันติภาพ การไม่ใช้ความรุนแรง ความรักและความเมตตา คำสอนเหล่านี้ได้รับการยอมรับและเคารพจากผู้คนนับร้อยล้านคนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยและอินเดีย อาจถือได้ว่าเป็น “สายใยแห่งความสัมพันธ์” ที่แข็งแกร่งที่สุดระหว่างสองประเทศ
ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 กล่าวถึงเป้าหมายของการจัดโครงการธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ลุ่มน้ำโขงสู่มหานทีคงคา ประกาศศตวรรษแห่งธรรม ณ แดนพุทธภูมิ สาธารณรัฐอินเดีย ว่า มีเป้าหมายให้ประเทศไทย เป็น “จุดเชื่อม” ความร่วมมือขององค์กรศาสนิกสัมพันธ์ทั่วโลก ทุกชาติ ทุกศาสนา โดยสามารถพัฒนาเป็น “ศตวรรษแห่งธรรม” (Dhamma Century) “ธรรม“ ในที่นี้มิได้จำกัดเฉพาะหลักธรรมของพุทธศาสนาเท่านั้น แต่หมายถึงหลักธรรมคำสอนของทุกศาสนาทั่วโลก ที่มีคำสอนเป็น ”หลักธรรม“ ร่วมกันในการส่งเสริมสันติภาพ และการแก้ไขวิกฤติร่วมกันของมนุษยชาติ ทั้งนี้ โครงการธรรมยาตราครั้งที่ 4 จะประสบความสำเร็จไม่ได้เลย หากไม่ได้รับความร่วมมือจากองค์กรภาคีของประเทศอินเดียและประเทศไทย
สัญลักษณ์แห่งวาระสำคัญครั้งประวัติศาสตร์ของโครงการธรรมยาตราครั้งที่ 4 นอกจากจะมีการการประกาศ “ศตวรรษแห่งธรรม” แล้ว ยังมีการฝัง Time Capsule หรือ “แคปซูลแห่งกาลเวลา” เพื่อเป็นการเก็บรักษาหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทย และสาธารณรัฐอินเดีย ได้สร้างปฏิญญาแห่งความร่วมมือกัน เพื่อให้เป็นหลักจารึกทางประวัติศาสตร์ของโลก และบรรจุไว้ใต้พิภพ ณ แผ่นดินพุทธสถานแห่งการตรัสรู้ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้คนในอนาคตได้รับทราบเหตุการณ์สำคัญในศตวรรษที่ 21 สำหรับช่วงเวลาในการฝัง “แคปซูลแห่งกาลเวลา” จะเปิดในอีก 234 ปีข้างหน้า เพราะปี พ.ศ.234 เป็นปีที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งคณะสมณทูตออกเผยแผ่พุทธศาสนายังดินแดนต่างๆรวม 9 สาย อีกทั้งตัวเลขปี 234 ยังรวมกันได้เลข 9 ตรงกับ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ผู้ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกของราชอาณาจักรไทย “แคปซูลแห่งกาลเวลา“ จึงเป็นหลักฐานยืนยันความสำคัญของหลักพุทธธรรมต่อมวลมนุษยชาติไปตลอดกาล
พิธีการสำคัญอีกช่วง คือการถวายสักการะและการอ่าน “ปฏิญญาว่าด้วยศตวรรษแห่งธรรม” โดย ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยา 980 ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และพระมหาเจดีย์พุทธคยา รวมทั้งถวายราชสักการะรำลึกถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพปีที่ 97 ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็รพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2567






สิ่งที่คาดว่าจะได้รับจากการจัดโครงการธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ลุ่มน้ำโขงสู่มหานทีคงคา ประกาศศตวรรษแห่งธรรม ณ แดนพุทธภูมิ สาธารณรัฐอินเดีย คือ ประเทศไทยจะเป็น “จุดเชื่อม” ความร่วมมือองค์กรศาสนิกสัมพันธ์ทั่วโลกทุกชาติ ทุกศาสนา และสามารถพัฒนาไปสู่การเป็น “ศตวรรษแห่งธรรม” ( Dhamma Century) ด้วยการนำหลักธรรม ความเชื่อ ตามหลักธรรมของทุกศาสนา เป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือการส่งเสริมหลักแห่ง “มนุษยธรรม” ของประชาคมโลกเพื่อสร้างความสงบสุขแก่มวลมนุษยชาติ
เขียนโดย : ภัทชา ณิลังโส